19 ข้อที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการท้องผูกตอนตั้งครรภ์ - featured image

19 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาการท้องผูกตอนตั้งครรภ์

เป็นเรื่องปรกติเมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์หรือคุณแม่ที่เตรียมตัวท้องต้องหาข้อมูลเพื่อเตรียมรับมืออาการต่าง ๆ ที่ต้องเผชิญระหว่างการตั้งท้อง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คืออาการท้องผูก โดยข้อมูลที่ได้รับมานั้นอาจจะคลาดเคลื่อน หรือบางทีข้อมูลที่ได้รับมาก็มาจากคำที่ว่า “เค้าบอกว่า” หรือ “ความเชื่อที่ว่า”

บทความนี้ Berlin GI Life ได้รวบรวมข้อมูลที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับการท้องผูกตอนตั้งครรภ์มาฝากกันค่ะ เรามาดูไปพร้อม ๆ กันเลยว่ามีอะไรบ้างนะคะ

1. เราไม่สามารถป้องกันอาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์ได้

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์สามารถป้องกันได้หากเข้าใจถึงสาเหตุของการเกิดอาการดังกล่าวว่าเกิดจากอะไร เช่น มดลูกที่ขยายใหญ่ขึ้น ฮอร์โมนในร่างกายเพิ่มขึ้น การที่คุณแม่เคลื่อนไหวตัวน้อยลง รวมไปถึงความเครียดและความกังวลเกี่ยวกับการตั้งครรภ์ เหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ค่ะ

2. อาการท้องผูกเป็นเพียงปัญหาในช่วงท้าย ๆ ของการตั้งครรภ์เท่านั้น

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ และจะรุนแรงขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 และจะหายเป็นปรกติหลังคลอดค่ะ

3. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถรักษาได้

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

การดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีกากใยเพิ่มขึ้น ออกกำลังกายให้เหมาะสม ฝึกการขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน ​รวมไปถึงการทานยาระบายตามที่แพทย์แนะนำ จะสามารถบรรเทาอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ค่ะ

4. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นอาการเล็กน้อยเท่านั้น

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

ถึงแม้ว่าอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์จะดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่หากปล่อยไว้จนอาการเรื้อรังจะทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับโรคลำไส้ เช่น ลำไส้อุดตัน ลำไส้แปรปรวน รวมไปถึงโรคริดสีดวงทวารได้ ดังนั้นคุณแม่ตั้งครรภ์จึงควรสำรวจตัวเองหากพบว่ามีอาการท้องผูกเรื้อรัง หรืออุจจาระแข็งมากและมีมูกเลือดปนเวลาขับถ่าย ควรปรึกษาแพทย์ทันทีค่ะ

5. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้หากไม่ใช้ยา

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

ความจริงแล้วอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ สามารถบรรเทาได้ด้วยการใช้ยาระบายในปริมาณที่เหมาะสม โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาระบายที่ช่วยเพิ่มปริมาณไฟเบอร์ในลำไส้ ไปจนถึงยาระบายที่ช่วยทำให้อุจจาระนิ่มเพื่อช่วยบรรเทาอาการท้องผูกค่ะ

6. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของอาการอื่น ๆ ที่อาจร้ายแรง

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ อาการท้องผูกตอนตั้งครรภ์เป็นเรื่องปรกติที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ตั้งครรภ์เกือบทุกคน ทั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะฮอร์โมนในร่างกายที่เพิ่มขึ้น ยังรวมถึงการที่มดลูกขยายจนไปเบียดบังลำไส้ และทางเดินอาหารให้ทำงานได้ไม่เต็มที่จึงทำให้เกิดการขับถ่ายยากค่ะ

7. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยการออกกำลังกาย

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

การออกกำลังกายสามารถช่วยบรรเทาอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ได้ เพราะเมื่อร่างกายมีการเคลื่อนไหวจะทำให้ลำไส้มีการยืด-หดตัว และช่วยให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถออกกำลังกายเบา ๆ อย่างเช่น การเล่นโยคะเพื่อยืดกล้ามเนื้อ การออกกำลังกายในน้ำ หรือแอโรบิคในน้ำ รวมถึงการเดินออกกำลังกายเบา ๆ เป็นประจำทุกวันค่ะ

8. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณว่าทารกได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นสัญญาณว่าลูกในท้องได้รับสารอาหารไม่เพียงพอค่ะ สาเหตุของอาการท้องผูกเกิดจากขนาดของมดลูกที่ใหญ่ขึ้น ฮอร์โนในตัวเพิ่มมากขึ้น ไปจนถึงโภชนาการที่ไม่เหมาะสมของคุณแม่ตั้งครรภ์ ทั้งนี้หากคุณแม่มีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของลูกในท้อง ควรไปตรวจสุขภาพและติดตามความเจริญเติบโตของลูกในท้องทุกครั้งตามที่แพทย์นัดหมายค่ะ

9. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงโภชนาการ

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

การเปลี่ยนแปลงโภชนาการเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคุณแม่ตั้งครรภ์ค่ะ เพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณแม่และลูกในท้องได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนแล้ว การเลือกทานอาหารที่มีส่วนประกอบของผัก ผลไม้และถั่วต่าง ๆ ที่มีไฟเบอร์สูง จะช่วยทำให้คุณแม่ขับถ่ายได้ง่ายและท้องผูกน้อยลงค่ะ

10. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์หรือพฤติกรรม

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

เมื่อคุณแม่ตั้งครรภ์ สิ่งที่จะต้องเจอคือความเปลี่ยนแปลงทั้งสรีระร่างกาย และการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น การนอนดึก ดื่มชา กาแฟ แอลกอลฮอล์รวมถึงอาหารที่รับประทาน เป็นสาเหตุของอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ค่ะ

ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมที่ทำก่อนท้อง เช่น การออกกำลังกายทุกวัน ทานผัก ผลไม้มากขึ้น ดื่มน้ำมากและบ่อยขึ้น รวมถึงการแบ่งมื้ออาหารให้ย่อยขึ้นก็จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในคุณแม่ตั้งครรภ์ได้ค่ะ

11. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัญหาเฉพาะของผู้หญิงที่ไม่เคยมีอาการท้องผูกมาก่อน

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน โดยเฉพาะในผู้หญิง และมีแนวโน้มที่จะเกิดอาการท้องผูกได้บ่อยครั้งในระหว่างตั้งครรภ์ ไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะของคุณแม่ตั้งครรภ์ที่ไม่เคยมีอาการท้องผูกมาก่อนนะคะ

12. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของปัญหาที่เกิดกับทารก

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกไม่เกี่ยวกับปัญหาเรื่องความผิดปรกติของลูกน้อยในครรภ์ แต่เป็นสัญญาณเกี่ยวกับสุขภาพของทางเดินอาหารและการขับถ่ายของคุณแม่ค่ะ

13. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยวิธีธรรมชาติ

เป็นความเข้าใจที่ผิดค่ะ

อาการท้องผูกโดยทั่วไปสามารถบรรเทาได้โดยไม่ต้องใช้ยาค่ะ รวมถึงอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ที่สามารถบรรเทาได้ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น เคลื่อนไหวตัวให้มากกว่าเดิม รวมถึงการเพิ่มปริมาณของผักผลไม้ และถั่วต่าง ๆ ในมื้ออาหารซึ่งจะช่วยให้ขับถ่ายได้คล่องขึ้นค่ะ

14. อาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาได้หากไม่เพิ่มการดื่มน้ำ

ไม่ผิดแต่ก็ไม่ถูกซะทีเดียวนะคะ

เพราะในความเป็นจริงแล้วการบรรเทาอาการท้องผูกไม่เพียงแต่ต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การออกกำลังกาย หรือการเคลื่อนไหวตัวให้บ่อยขึ้นเพื่อให้ลำไส้ได้มีการขยับ รวมถึงการทานอาหารที่มีปริมาณไฟเบอร์สูงค่ะ

15. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัญหาสำหรับผู้หญิงที่ต้องอุ้มท้องลูกหลายคนเท่านั้น (หมายถึงท้องมากกว่า 1 คนใน 1 ครั้ง)

เป็นความเข้าใจผิดค่ะ

ความจริงแล้วอาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์สามารถเกิดขึ้นกับคุณแม่ตั้งครรภ์ปรกติได้  ไม่ได้เกิดเฉพาะกับคุณแม่ตั้งครรภ์ลูกแฝดเท่านั้นค่ะ

16. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่สามารถบรรเทาอาการได้หากไม่ใช้ยาระบาย

เป็นความเข้าใจผิดค่ะ

อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ก็เหมือนกับอาการท้องผูกทั่ว ๆ ไปค่ะ ที่สามารถบรรเทาได้โดยไม่ต้องใช้ยาระบาย แต่อาจจะต้องปรับพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การทานอาหารประเภทผักและผลไม้ที่มีกากใยสูง ถั่วต่าง ๆ ขนมปังโฮลวีต รวมถึงอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) เพิ่มมากขึ้น การออกกำลังกายและดื่มน้ำประมาณ 10-12 แก้วต่อวันค่ะ

17. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร

เป็นความเข้าใจผิดค่ะ

อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์ไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนว่าลำไส้ และระบบย่อยอาหารของคุณแม่กำลังมีปัญหา แต่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ที่มีขนาดมดลูกใหญ่ขึ้นจนไปเบียดลำไส้ทำให้อาหารเคลื่อนผ่านตัวได้ช้า และฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนที่ทำให้การย่อยอาหารทำได้ช้าลง และอาการเหล่านี้จะกลับมาเป็นปรกติหลังจากคลอดลูกแล้วค่ะ

18. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นปัญหาเฉพาะสำหรับผู้หญิงที่กำลังอุ้มท้องลูกคนแรกเท่านั้น

เป็นความเข้าใจผิดค่ะ

ข้อเท็จจริงคือ ไม่ว่าคุณจะตั้งท้องลูกคนที่เท่าไหร่ก็สามารถมีอาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เกิดขึ้นได้ค่ะ

19. อาการท้องผูกระหว่างตั้งครรภ์เป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับมดลูก

เป็นความเข้าใจผิดค่ะ

เมื่อลูกในท้องมีน้ำหนักตัวและขนาดที่เพิ่มขึ้น ขนาดของมดลูกก็จะใหญ่ขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการท้องผูกตอนตั้งครรภ์ ดังนั้นคุณแม่สบายใจได้ค่ะว่าอาการดังกล่าวไม่ได้เป็นสัญญาณเตือนว่ามดลูกมีปัญหาแต่อย่างใดค่ะ

สรุป

อาการท้องผูกในระหว่างตั้งครรภ์นั้น เป็นเพียงระยะเวลาในช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์ และจะเป็นปรกติหลังจากคลอดลูกแล้วค่ะ หากคุณแม่ตั้งครรภ์เข้าใจถึงสาเหตุ การป้องกันและการรักษา จะช่วยบรรเทาอาการท้องผูกในช่วงระหว่างตั้งครรภ์ได้เป็นอย่างดีค่ะ แต่หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วยังมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาแนวทางแก้ไขนะคะ

สุขภาพดีเริ่มต้นที่ทางเดินอาหารค่ะ

Berlin GI Life

Related Articles

บทความที่คุณอาจสนใจ

ลำไส้สุขภาพดีแข็งแรง ด้วยประโยชน์ของไพรไบโอติกส์

ลำไส้สุขภาพดีแข็งแรง ด้วยประโยชน์ของโพรไบโอติกส์

โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร พบได้บ่อยกับทุกเพศทุกวัยในปัจจุบัน Berling GI Life จะพาไปทำความรู้จักกับประโยชน์ของโพรไบโอติกส์ที่มีต่อระบบทางเดินอาหารของเราค่ะ

อ่านต่อ »
นานแค่ไหนกว่าโพรไบโอติกส์ที่กินไปจะเห็นผล - featured image

นานแค่ไหนกว่าโพรไบโอติกส์ที่กินไปจะเห็นผล

จะรู้ได้อย่างไรว่าโพรไบโอติกส์ที่ทานไปนั้นได้ผลจริง ๆ แล้วจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนจึงจะทำให้โพรไบโอติกส์ที่ทานไปออกดอกออกผล มาไขข้อสงสัยในบทความนี้เลยค่ะ

อ่านต่อ »
รู้ได้อย่างไร ว่าร่างกายเราต้องการโพรไบโอติกส์ - featured image

รู้ได้อย่างไร ว่าร่างกายเราต้องการโพรไบโอติกส์ ?

วิธีสังเกตอาการผิดปกติ หรืออาการเจ็บป่วยในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายเราซึ่งจะปรากฏภายหลังจากโพรไบโอติกส์ลดจำนวนลง ซึ่งมีดังในบทความนี้ค่ะ

อ่านต่อ »